Sunday, November 30, 2008

:: u n z e e n :: พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง

[]

 

พลังแห่งการเปลี่ยนแปลง
รายงานโดย : หนูดี - วนิษา เรซ:

 

ความล้มเหลวในการเลือกวิถีชีวิตอาจไม่จำเป็นต้องเป็นตราบาปเสมอไป วันนี้หนูดีมีนิทานมาเล่าให้ฟังสองเรื่องค่ะ ทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นนานพอสมควรแล้ว


และหนูดีได้ฟังครั้งแรกในห้องเรียนความสุขที่มหาวิทยาลัยเพราะเป็นกฎว่า ทุกครั้งที่เข้าห้องเรียนเราต้องผลัดเวียนกันเอาเรื่องดีๆ มาเล่าแบ่งปันกัน เรื่องนี้เพื่อนชื่อ ' ชิพ ' นำมาเล่าและให้พวกเราทายกันว่า ' สองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร ' ผู้อ่านลองอ่านไปทายไปด้วยกันนะคะ และคำเฉลยอยู่ตอนท้าย มีกฎง่ายๆ ว่า อย่าแอบดูเฉลยก่อนเพราะจะไม่ตื่นเต้นค่ะ

  
เรื่องเล่าที่ 1

นานมาแล้ว อัลคาโปน เจ้าพ่อมาเฟียค้ายาเสพติดชื่อดังครองเมืองชิคาโกแทบจะทั้งเมือง เขามีชื่อเสียงที่แสนร้ายกาจในเรื่องการค้าขายเหล้าเถื่อน ขายยาเสพติด ขายผู้หญิงและเป็นผู้บงการการฆาตกรรมจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยถูกจับได้ ไม่เคยต้องติดคุกเลยจากความผิดที่เขาเป็นผู้ก่อ โชคดีอันมหาศาลนี้ต้องยกประโยชน์ให้กับ ' อีซี่เอ็ดดี้ ' ทนายความคนเก่งของเขาที่ว่าความและใช้ช่องโหว่ทางกฎหมายปกป้องอัลคาโปนจากเงื้อมมือของตำรวจและกระบวนการตุลาการได้เสมอมา ด้วยเหตุแห่งความเก่งนี้เอง ส่งผลให้อัลคาโปนตอบแทนเขาอย่างจุใจด้วยค่าจ้างที่แพงลิบลิ่วแถมด้วยสิทธิประโยชน์อีกมากมาย รวมถึงแมนชันพักอาศัยขนาดใหญ่กลางเมืองชิคาโกที่กินพื้นที่ถึงหนึ่งช่วงถนนใหญ่ๆ แม่บ้านประจำบ้านเพื่อดูแลเขาและครอบครัวตลอด 24 ชั่วโมง ' อีซี่เอ็ดดี้ ' มีชีวิตที่สะดวกสบายเกินมาตรฐานของคนส่วนใหญ่ในเมือง แต่ท่ามกลางความสุขสบายนี้ เขากลับมีจุดอ่อนอยู่หนึ่งแห่ง
 
ลูกชายของเขานั่นเอง เด็กชายอยู่ชั้นประถมและได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เงินจะบันดาลได้ทั้งการศึกษาที่ดี รถยนต์คันใหญ่ ของเล่นมากมายและเสื้อผ้าหรูหรา สิ่งเดียวที่ ' อีซี่เอ็ดดี้ ' ไม่สามารถให้กับลูกชายได้ คือ ชื่อเสียงที่ดีและตัวอย่างที่สมควรดำเนินรอยตาม


สิ่งนี้ทรมาน ' อีซี่เอ็ดดี้ ' อยู่อย่างเจ็บปวดภายใน และหลังจากตรองด้วยความลึกซึ้งเป็นเวลานานแล้ว เขาก็ตัดสินใจเข้ามอบตัวกับตำรวจและถูกกันไว้เป็นพยานในเหตุการณ์สะเทือนขวัญหลายเรื่องที่อัลคาโปนและแก๊งมาเฟียของเขาได้ก่อขึ้น การกลับตัวกลับใจครั้งนี้ เขาตั้งใจกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูกชายได้เห็นในเรื่องของศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์ แต่ในกระบวนการนี้ เขาต้องให้การเป็นปฏิปักษ์กับอัลคาโปนและมาเฟียในแก๊งจำนวนมาก เขารู้ดีว่า การตัดสินใจครั้งนี้คือคำสั่งประหารชีวิตตัวเอง...แต่เขาไม่ต้องการทางเลือกอื่นใด...ลูกชายมีค่ากว่าชีวิตของเขาเอง


หนึ่งปีให้หลังจากการมอบตัวและให้ปากคำ ' อีซี่เอ็ดดี้ ' เสียชีวิตจากการลอบกระหน่ำยิงในถนนแห่งหนึ่งในเมืองชิคาโกในตอนที่เขาเดินกลับบ้านตามลำพัง ร่างของเขามีรอยกระสุนหลายสิบรอยและเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ เขาตายแต่ทิ้งตัวอย่างอันยิ่งใหญ่ไว้ให้ลูกชาย เมื่อตำรวจมาเก็บศพเพื่อนำกลับไปทำคดีนั้น พวกเขาพบไม้กางเขนและภาพทางศาสนาในกระเป๋าเสื้อของ ' อีซี่เอ็ดดี้ ' และกลอนที่ตัดมาจากหนังสือเขียนว่า


' นาฬิกาแห่งชีวิตหมุนเพียงครั้งเดียว และไม่มีมนุษย์คนไหนมีอำนาจในการที่จะบอกว่า เข็มจะหยุดเดินเมื่อใด เราจะมีเวลามากหรือน้อยเพียงใด เวลาในปัจจุบันนี้คือสิ่งเดียวที่คุณเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง จงใช้ชีวิต จงรัก จงทำงานด้วยการมีเป้าหมาย และอย่าเชื่อมั่นว่าเวลาจะคงอยู่ตลอดไป เพราะเข็มอาจจะหยุดเดินได้ก่อนที่คุณจะคาดคิดถึง '

 
เรื่องเล่าที่ 2

สงครามโลกครั้งที่ 2 สร้างฮีโร่จำนวนมาก แต่น้อยคนจะได้รับเกียรติเท่ากับนักบินรบท่านหนึ่ง คือ บุช โอแฮร์ ซึ่งเป็นนักบินรบที่ถูกส่งไปรบยังแปซิฟิกใต้ร่วมกับทีมเรือสงครามเล็กซิงตัน ในภารกิจหนึ่งซึ่งทีมเครื่องบินรบทั้งทีมของเขาจำนวนสิบกว่าลำกำลังออกปฏิบัติการกลางอากาศ โอแฮร์สังเกตว่าถังน้ำมันของเขาไม่ได้เติมจนเต็ม ดังนั้น เขาจะไม่มีน้ำมันมากเพียงพอที่จะอยู่ร่วมจนครบภารกิจ หัวหน้าทีมนักบินรบจึงให้สัญญาณโอแฮร์กลับไปรอยังเรือรบและเติมน้ำมัน ....ด้วยความไม่เต็มใจอย่างยิ่งแต่มิอาจขัดขืนคำสั่งได้ เขาจึงบินออกจากกลุ่มและหันเหเส้นทางการบินกลับสู่เรือรบ แต่ในระหว่างทางกลับนั้นเอง เขาเห็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เลือดทั้งร่างกายของเขาจับตัวเย็นเฉียบ


เครื่องบินรบ ' ซีโร่ส์ ' กลุ่มใหญ่ของกองทัพญี่ปุ่นกำลังบินเข้าหาเรือเล็กซิงตัน และในเมื่อฝูงเครื่องบินรบอเมริกันทั้งหมดได้ออกปฏิบัติภารกิจในที่ไกลออกไปเกินกว่าจะบินกลับมาช่วยได้ทัน ก็เท่ากับว่าเรือรบอเมริกันจะกลายเป็นเป้านิ่งให้กองทัพญี่ปุ่นยิงถล่มเข่นฆ่าทหารได้ตามอำเภอใจ โดยไม่ต้องเสียเวลาตัดสินใจเรื่องสวัสดิภาพของตนเองแม้แต่วินาทีเดียว โอแฮร์ตัดสินใจบินเดี่ยวเข้าใส่ฝูงเครื่องบินรบญี่ปุ่น และเริ่มต้นการยิงต่อสู้ แน่นอนว่า เครื่องบินรบที่มีปืนกล 50 กระบอกของเขานั้นทำให้ฝ่ายญี่ปุ่นประหลาดใจไม่น้อย แต่ก่อนที่เขาจะยิงฝ่ายตรงข้ามทิ้งได้ทุกลำกระสุนของเขาก็หมดลง แต่ถึงกระนั้น โอแฮร์ก็ไม่ได้หมดกำลังใจ....แม้ไม่มีกระสุนเหลือ แต่เขาก็ตัดสินใจเอาเครื่องบินของตนเองพุ่งเข้าชนฝ่ายญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วด้วยความหวังว่าจะทำลายปีกหรือหางของเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามเพื่อให้เกิดความเสียหายจนบินต่อไม่ได้และหล่นลงทะเลไปบ้าง


ในที่สุดฝูงบินญี่ปุ่นจึงตัดสินใจล้มเลิกภารกิจการโจมตีกลางคันและบินหนีไป ท่ามกลางความโล่งใจของโอแฮร์เขาหันเครื่องบินกลับสู่เรือรบเล็กซิงตันและรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชา กล้องวิดีโอที่ติดกับปืนกลประจำเครื่องบินรบได้บันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดไว้และแสดงให้เห็นว่าเขาได้ยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตกไปถึง 5 ลำ เรื่องนี้ทำให้โอแฮร์ได้เป็นฮีโร่คนแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับเหรียญแสดงความกล้าหาญระดับสูงจากรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งเขาเป็นนักบินรบจากกองทัพเรือคนแรกที่ได้รับเหรียญกล้าหาญประเภทนี้ 1 ปีถัดมา บุช โอแฮร์ เสียชีวิตจากการต่อสู้ระยะประชิดทางอากาศด้วยวัยเพียง 29 ปี
 
ชาวเมืองชิคาโกซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาไม่ยอมให้เรื่องราวของฮีโร่คนนี้หายไปจากความทรงจำของทุกคนอย่างง่ายดายนัก ดังนั้น ชาวเมืองชิคาโกจึงตัดสินใจนำชื่อของเขามาตั้งเป็นชื่อของสนามบินนานาชาติสร้างใหม่ประจำเมืองชื่อว่า ' สนามบินนานาชาติ ชิคาโก โอแฮร์ ' และพวกเขาได้สร้างรูปปั้นของ บุช โอแฮร์ ประดับด้วยเหรียญกล้าหาญของเขาไว้ที่ทางเดินเชื่อมระหว่างอาคารผู้โดยสารที่ 1 และที่ 2 ซึ่งทุกวันนี้หากคุณเดินทางไปอเมริกาและต้องเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนี้ ก็ยังสามารถแวะไปเยี่ยมชมรูปปั้นได้เสมอค่ะ


 
คำถาม: เรื่องเล่า 2 เรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร


หลายคนอาจทายว่า ทั้ง 2 เรื่องเกิดขึ้นที่เมืองชิคาโกเหมือนๆ กัน ซึ่งหนูดีและบรรดาเพื่อนๆ ที่ฟังก็ทายเช่นนี้ แต่คำตอบที่แท้จริงก็คือ ' บุช โอแฮร์ เป็นลูกชายแท้ๆ ของทนาย อีซี่เอ็ดดี้ '
ใช่แล้วค่ะ... ความล้มเหลว ผิดพลาด ไม่ใช่ตราบาปที่เราแก้ไขไม่ได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่ที่มุมมองของเราและการกล้าลงมือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเรียนรู้จากสิ่งที่เราได้ทำพลาดไป... และมีใครทายถูกบ้างคะ

 
แบ่งปันให้อ่านหวังว่าคงชอบกัน

ด้วยรัก

จาก...หนูดี

No comments: