Thursday, November 20, 2008

:: u n z e e n :: Ghost Story

[] 
 
ให้เช่าคอนโด"เตาปูนแมนชั่น" บางซื่อ
ติดกับบริษัท ปูนซิเมนท์ไทย ใกล้โลตัสประชาชื่นและรถไฟใต้ดิน
พร้อมเฟอร์นิเจอร์ ((ทีวี แอร์ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น เตียง ตู้ โซฟาฯลฯ)) พร้อมเข้าอยู่
เดือนละ 6,500 บาท มัดจำ 2 เดือน
สนใจติดต่อ 084-461-4343
-เจ้าของให้เช่าเอง ไม่ผ่านโครงการหรือนายหน้า-
-ไม่ขาย ให้เช่าเท่านั้น-

 
 

 

เผยครั้งแรกเมื่อตอนที่ผมไปทำสกู๊ปเรื่องหนึ่งที่พัทยา หลังจากสัมภาษณ์กับแหล่งข่าวเสร็จ พวกเราทั้งหมดนั่งรถตู้ฝ่าความมืดของถนนลูกรังและทุ่งหญ้าเพื่อกลับไปยังที่พักในเมือง ระหว่างนั้นแหล่งข่าวเล่าเรื่องราวต่างๆ ของเพื่อนเขาให้ฟัง หนึ่งในเรื่องนั้นที่เราตั้งใจฟังมากที่สุดก็คือเรื่องของน้องเซนซ์

 

"เคยดูหนังผีกันไหม ผีต้องออกมากลางคืนใช่มั้ย แล้วมีหมาหอน ผีในหนังจะตัวขาวๆ ผมยาวๆ ใช่มั้ย และพอเช้าผีก็จะหายไปใช่มั้ย ลืมเรื่องพวกนี้ไปเลย ไอ้เซนซ์มันบอกผมว่าผีมีทุกเวลา อยู่ในทุกที่ ในห้างฯ กลางวันแสกๆ มันยังเจอเลย"

 

แหล่งข่าวพยายามทำเสียงทุ้มต่ำเพื่อให้เรื่องฟังดูน่ากลัวที่สุด ซึ่งมันก็ได้ผลกับคนรอบข้างทีเดียว แต่ไม่ใช่ผม

 

"ไอ้เราก็ไม่ค่อยเชื่อหรอกว่ามันจะเห็นจริงๆ แต่มีครั้งนึงที่เล่นเอาขนลุกเลย คืนนั้นไปนั่งกินหมูกระทะกัน มีเซนซ์ พี่สาวเขา โยกับแฟนโย แล้วก็เรา นั่งกินกันอยู่ดีๆ เซนซ์มันก็หน้าซีดขึ้นมาซะงั้น เราก็เฮ้ย! เห็นไรป่าววะ สักพักเซนซ์มันก็เดินไปหาเจ้าของร้านบอกว่าให้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลบ้าง เจ้าของร้านก็นิ่งไปนิดแล้วบอกว่าพักนี้ไม่ค่อยมีเวลาเลยไม่ได้ทำบุญ แต่ถ้ามีโอกาสก็ทำตลอดแหละ

 

นี่เซนซ์มันเล่าให้ฟังตอนออกมานอกร้านแล้วนะ เราก็ถามว่าเห็นไร น้องมันก็บอกว่าตอนที่นั่งกินกันอยู่เนี่ยมีเด็ก 2 คนมายืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ฝั่งละคน แล้วก็เห็นเด็ก 2 คนนี้เดินตามเจ้าของร้านอยู่ เจ้าของร้านก็บอกว่ามีหมอดูทักหลายครั้งแล้ว เด็ก 2 คนนั้นก็คือลูกที่ตายไปของเขาเองแหละ คือแบบ...มันไม่ใช่เรื่องที่เตี๊ยมมาก่อนแน่ๆ และเจ้าของร้านก็ยืนยันตรงกันด้วย"

 

นี่เป็นแค่เรื่องเดียวในจำนวน 3-4 เรื่องที่แหล่งข่าวเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความสามารถพิเศษที่คนทั่วไปไม่อยากมีของหญิงสาววัยต้น 20 คนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเธอก็ยังคงเห็นผีอยู่ทุกวันและพยายามใช้ชีวิตให้ปกติเหมือนคนทั่วไป

 

 

หลังจากคืนนั้นเป็นต้นมาผมก็ลืมเรื่องนี้ไปสนิท จนเมื่อบก.หนวดนึกสนุกชวนคุยเรื่องผีขึ้นมาในที่ประชุมกองบก. แล้ว บก.หนวดก็ชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย พยายามจะโชว์ว่าแกมีเรื่องผีสยองๆ อยู่หลายเรื่อง พวกน้องๆ ในกองบก.ก็ต้องทำหน้าตากลัวกันไปเรื่อย บางคนที่อยากเอาใจบก.หนวดถึงกับทำขนลุกแล้วโชว์ให้ บก.หนวดดีใจ แต่สำหรับผมซึ่งไม่ค่อยเอาใจใส่นักกับเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว ผมกลับคิดถึงน้องเซนซ์ขึ้นมาจับจิตจับใจ ทั้งด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นและความท้าทายเล็กๆ แน่นอน! เรื่องแบบนี้ยากที่จะเชื่อ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริง เหมือนอย่างที่เพื่อนคนหนึ่งซึ่งกำลังศึกษาพุทธศาสนาแบบเจาะลึกเคยพูดให้ฟังว่า ในป่าแม้จะมีใบไม้ที่นำมาใช้ได้แค่กำมือเดียว แต่ก็ไม่ได้แปลว่าใบไม้ที่เหลือมันจะไม่มีอยู่ และโดยส่วนตัวผมคิดว่า ถ้าอยากจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น ก็ควรเข้าใกล้แกนกลางของเรื่องให้มากที่สุด

 

เราใช้เวลาติดต่อและรอคอยเซนซ์นาน 3 สัปดาห์เต็ม ในที่สุดเธอก็ตอบตกลง โดยนัดหมายสถานที่ไว้ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งใจกลางสยามสแควร์ ช่วงเวลาบ่าย 3 โมงของวันเสาร์ และหลังจากบรรทัดนี้ไปคือการพูดคุยที่เกิดขึ้นในวันนั้น โดยที่ผมจะตัดทอนและเรียบเรียงให้อ่านง่ายที่สุดแต่ยังคงไว้ซึ่งบรรยากาศที่เกิดขึ้นจริง

 

 

สถานที่ : ร้านกาแฟใจกลางสยามสแควร์

เวลา : บ่าย 3 โมง 15 นาที

 

เหตุผลที่เลือกร้านกาแฟร้านนี้ก็คือสภาพคนที่เข้าออกพลุกพล่าน อาจจะบันทึกเทปได้ยากสักหน่อย แต่อย่างน้อยก็อยากพิสูจน์ว่าในสถานที่ที่มีคนเยอะเช่นนี้ เซนซ์จะมีโอกาสเห็นผีได้มากน้อยแค่ไหน

 

ผมสั่งกาแฟรอเธอและเลือกโต๊ะเหมาะๆ อยู่พักหนึ่งเซนซ์ก็ปรากฏตัวขึ้น วัดด้วยสายตา เธอเป็นสาวสมัยใหม่ที่แต่งตัวจัดเอาเรื่องทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับ และเท่าที่สังเกตดู ที่คอเธอไม่มีประคำหรือพระห้อยไว้ เห็นแต่เพียงสร้อยสไตล์ฮิพฮอพ ที่ข้อมือไม่ใช่สายสิญจน์แต่เป็นนาฬิกาแบรนด์เนม ที่นิ้วไม่มีแหวนจากเกจิรุ่นดังแต่เป็นแหวนวิเวียน เวสต์วู้ด โดยรวมแล้วไม่มีมาดของผู้ทรงเจ้าเขาศีลเลยสักนิด เราเริ่มคุยกันทันทีหลังจากพี่เขยและพี่สาวของเธอมาถึงเพื่อร่วมฟังเป็นพยาน

 

"เห็นผีครั้งแรกก็น่าจะเป็นตอนประมาณ 4 ขวบได้ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าผีเป็นไง แต่แม่เล่าให้ฟังว่าวันนั้นเป็นวันสารทจีนหรือตรุษจีนนี่แหละ แล้วเขาจะมีโต๊ะตั้งไว้ไหว้กลางแจ้ง มีเก้าอี้ให้นั่งด้วย เราก็เห็นว่ามีคนแก่ๆ มานั่ง เลยบอกแม่ว่า ม้าๆ มีใครมานั่งกินข้าวไม่รู้ ตอนนั้นแม่ก็เลยรู้ว่าเราเห็นผีแล้ว เป็นผีอากงอาม่า

 

"ที่เห็นจริงๆ จังๆ แล้วรู้ตัวนี่น่าจะตอนประถม ตอนนั้นเรียนอยู่โรงเรียนสหฯ ตึกที่เรียนเนี่ยมันจะมีห้องน้ำหญิงอยู่ 3 ห้อง เราชอบเข้าห้องในสุดเพราะว่ามันเย็นก็เลยเข้าห้องนี้ประจำ แล้วมีอยู่วันหนึ่งไปเข้าตอนพักเที่ยง จู่ๆ อากาศมันก็เย็นมาก พอออกมาจากห้องน้ำเราก็มาล้างมือแล้วมองไปที่กระจก มันก็สะท้อนภาพตรงห้องน้ำที่เราเข้าพอดี ปรากฏว่าเห็นเป็นผู้หญิงยืนอยู่ หันหลังให้ เราก็เอ๊ะ! เพิ่งออกมาจากห้องนั้นแล้วใครมายืนอยู่ได้ไง เราก็ค่อยๆ มองผ่านกระจกใหม่ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆ หันหน้ามายังไม่ทันเห็นหน้าเรากรี๊ดแล้ว กรี๊ดลั่นห้องน้ำเลยแล้วก็วิ่งลงมาหาเพื่อน เล่าให้เพื่อนฟังก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะมันเป็นตอนกลางวันไง เพื่อนก็ชวนกันมาเลย 5-6 คนก็เข้ามาอัดในห้องน้ำปิดประตูแล้วก็ท้าตีท้าต่อยกัน ปรากฏว่าไม่เจอกัน เราก็ไม่เจอ เพื่อนๆ ก็ไม่เจอ มันก็เลยหาว่าเราเป็นคนขี้โกหก ฉุนเลย ทีนี้ไปอีกรอบ กลัวก็กลัวแต่อยากปรู๊ฟไง โดนอีก ก็ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ นิ่งๆ ลักษณะเหมือนคนเลย คราวนี้ เราไม่หนีแล้ว ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นแล้วตะโกนด่า จะเอาอะไร! มาหลอกกันทำไม! ผู้หญิงคนนั้นก็พยายามจะหันหน้ามา ไม่พูดอะไรนะ ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ จนเราทนไม่ไหวเองต้องวิ่งหนีออกมา

 

"อีกวันไปถามภารโรงว่ามีใครเคยเห็นผีที่เป็นรูปร่างแบบนี้ๆ ในห้องน้ำนั้นไหม ภารโรงก็ถามว่าเห็นด้วยเหรอ นั่นลูกสาวเขาเองแหละ ผูกคอตายอยู่ที่นั่นเพราะท้องแล้วไม่มีพ่อ แต่เราก็เก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวนะ ไม่อยากเล่าให้ใครฟังเพราะกลัวจะโดนหาว่าโกหกอีก"

 

ช่วงนี้กบ (น้องผู้หญิงที่ออฟฟิศ) เดินเข้ามาร่วมฟังด้วย คนในร้านก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

"ที่รู้ตัวว่าโดนหลอกเต็มๆ ก็คือตอนเรียนมัธยม ช่วงนั้นย้ายไปเรียนอีกโรงเรียน เป็นโรงเรียนสหฯ เหมือนกัน เราเรียนเอกศิลปะก็จะซี้กับอาจารย์ศิลปะมาก วันนึงเรียนๆ อยู่แล้วสีหมดอาจารย์ก็ใช้ให้เดินไปเอาสีที่ห้องพัก เราเดินไปตามทางระบายน้ำของโรงเรียนก็เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนมองท่อระบายน้ำอยู่ ใส่ชุดนักเรียนนะแต่ไม่ใช่ของที่โรงเรียน เราก็เดินเข้าไปถามว่าหนูหาอะไรอยู่คะ เด็กก็ชี้ให้ดู เรามองตามนิ้วไปก็ไม่เห็นอะไรนี่นา พอเงยหน้าจะมามองน้องเขาก็ไม่มีแล้ว หายไปหมด เหลือแต่มือลอยอยู่กลางอากาศ กรี๊ดบ้านแตกเลย วิ่งร้องไห้กลับมาที่ห้องเรียน อาจารย์ถามก็ไม่กล้าเล่าว่าไปเจอผีหลอกมา

 

"ช่วงที่เห็นแบบจริงๆ จังๆ เห็นทุกที่ทุกวันเนี่ยก็ตอนไปเรียนต่อลอนดอน ตอนนั้นเราอายุ 18 พอดี ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเห็นเยอะขึ้น อยู่บนถนนก็เห็น ไปโรงเรียนก็เห็น อยู่ในรถไฟใต้ดินก็เห็น เห็นจนไม่อยากออกไปไหนเลย หมกตัวร้องไห้อยู่ในบ้าน 3 เดือนเต็มๆ ไม่รู้ทำไงดี แทบบ้า ไม่กล้าบอกที่บ้านด้วยเพราะกลัวโดนเรียกกลับไม่ได้เรียน เพื่อนก็คอยถามอยู่ตลอดเวลาหายไปไหน เราก็พยายามทำใจให้ได้ คิดซะว่าถ้าไม่เรียนให้จบเนี่ยพ่อแม่จะเสียใจ จากนั้นก็เริ่มกลับไปเรียนใหม่ แต่เรียนเสร็จก็กลับบ้านเลย ไม่ไปไหน ไม่อยากจะเห็น คิดว่าเราไม่ยุ่งกับเขา เขาก็คงไม่ยุ่งกับเรา ทำเป็นไม่เห็นซะ ทำตัวชินๆ ดีกว่า แต่ก็ยังไม่ชินนะ ทุกวันนี้ก็ยังกลัวอยู่"

 

ระหว่างนี้พี่เขยของเซนซ์ก็อธิบายให้เราฟังเพิ่มเติมถึงรูปร่างลักษณะของผีที่เซนซ์เห็นโดยแบ่งประเภทออกมาว่า มีทั้งแบบที่มีเนื้อมีหนังเหมือนคน แบบโปร่งแสง แบบสีดำ แบบสีขาว และแบบที่อวัยวะไม่ครบ 32

 

"ส่วนใหญ่ผีที่เราเห็นที่อังกฤษเนี่ยจะเป็นแบบโปร่งแสง แต่งตัวแบบคนสมัยนี้บ้าง แต่งตัวแบบโบราณบ้าง มีครั้งหนึ่งเราเห็นผีที่บ้านเพื่อนซึ่งเป็นผีเจ้าของบ้านนั่นแหละ คือบ้านที่เพื่อนไปอยู่เนี่ยเป็นบ้านเก่าแก่ที่อยู่กันมาหลายรุ่นแล้ว ห้องชั้นล่างจะเป็นห้องมาสเตอร์เบดรูม เราเข้าไปในห้องนี้ก็เห็นคนแก่คนหนึ่งนั่งอยู่รู้แล้วละว่าใช่ ด้วยความรำคาญเลยไปนั่งคุยด้วยว่าต้องการอะไร เขาก็พูดเป็นภาษาอังกฤษแบบโบราณเขาบอกว่าอยากกินสโคน เราก็ถามว่าถ้าซื้อมาแล้วจะกินยังไง เขาก็บอกว่าให้เอาไปวางไว้หัวเตียงในห้องมาสเตอร์เบดรูมซึ่งเป็นห้องที่เขาตาย แต่ปัจจุบันคือเพื่อนนอนอยู่ห้องนี้ เราก็ซื้อไปวางไว้ให้ เพื่อนมาเห็นก็หาว่าแอบเอาขนมมากินในห้อง เราก็เฉยๆ ไม่พูดอะไร จนสักพักเพื่อนมันก็เห็นว่าเราซื้อขนมมาแต่ทำไมมาวางไว้เฉยๆ ไม่ยอมกิน มันเริ่มสงสัยไง แล้วเพื่อนคนนี้ก็รู้ว่าเรามีเซนซ์อะไรประมาณนี้เลยถามว่าเห็นอะไรเหรอ เราก็เลยเล่าให้ฟัง เพื่อนมันก็บอกว่าเอะใจอยู่เหมือนกันเพราะห้องนั้นเป็นห้องเดียวภายในบ้านที่อุณหภูมิดร็อป

 

"ทำไมอุณหภูมิถึงต่ำลง"

 

"ไม่รู้เหมือนกัน แต่ทุกครั้งที่เจอเนี่ยอุณหภูมิจะดร็อป แล้วตัวเราก็จะเย็นตามไปด้วย"

 

ว่าแล้วเซนซ์ก็เอื้อมมือมาแตะแขนผม มันเย็นเฉียบทั้งๆ ที่แอร์ก็ไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ ส่วนทางท้ายทอยผมตอนนี้เหมือนมีลมแอร์เป่าลงอยู่ตลอดเวลา สงสัยว่าจะเป็นแอร์ภายในอาคารที่สตาร์ตตัวเองขึ้นมาใหม่ เมื่ออุณหภูมิห้องสูงขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเพดานเพื่อหาช่องปล่อยแอร์ และเมื่อก้มลงมาอีกทีก็เห็นเงาร่างดำเป็นผู้หญิงผมยาวสลวยมานั่งอยู่ข้างๆ กบ เธอคือกิ๊บนั่นเอง เพื่อนรุ่นน้องอีกคนในออฟฟิศที่อยากร่วมประสบการณ์ในครั้งนี้

 

เซนซ์เล่าว่าบ่อยครั้งที่เห็นผีนั้นส่วนใหญ่จะเป็นแบบโปร่งแสง พวกนี้จะยืนอยู่นิ่งๆ หรือไม่ก็นั่งอยู่เป็นที่ ถ้าเป็นสีขาวก็จะเป็นพวกเจ้าที่เจ้าทาง เป็นวิญญาณดี ที่น่าเกลียดก็คือพวกที่มาแบบรูปร่างไม่ครบ 32

 

"บางร้านเรานั่งกินข้าวอยู่ก็มายืนอยู่ข้างๆ เละๆ มาเลย มื้อนั้นก็กินไม่ลงแล้ว ครั้งหนึ่งไปงานเลี้ยงหรูเลยนะแถวโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คนในงานเยอะมาก แต่ปรากฏว่าผีเยอะกว่า สงสัยมาจากแม่น้ำนั้นแหละ เยอะจนทนไม่ไหวต้องหนีกลับบ้าน"

 

แต่ผีที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเซนซ์ก็คือผีสีดำ เธอเชื่อว่านั่นคือวิญญาณอาฆาต

 

"พวกนี้ไม่เดินตามก็เกาะอยู่ข้างหลัง เกาะอย่างเดียวไม่พอนะโน้มตัวเอาหน้ามาใกล้คนที่ถูกเกาะอีก ส่วนใหญ่จะเป็นผีผู้หญิงเกาะอยู่บนหลังผู้ชาย ผีผู้ชายเกาะบนหลังผู้หญิงก็มี แต่น้อย ครั้งหนึ่งเราไปงานเลี้ยงแล้วเจอรุ่นพี่ผู้ชายเข้ามาทัก เขาตัวสูงกว่าเราเลยต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง ปรากฏว่าพอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นผู้หญิงโน้มหน้ามาแล้วจ้องตาเขม็งเลย โดดถอยหลังพรวดเลยค่ะ ดวงตาน่ากลัวมาก เรารีบเดินหนีทันที แต่ปัจจุบันที่เราเห็นมากที่สุดก็คือเกาะอยู่บนหลังผู้หญิงนะ

 

"มีช่วงหนึ่งกลับมาซัมเมอร์ที่เมืองไทยเลยมาเดินเที่ยวสยามสแควร์กับพี่สาว เข้าไปในร้านเสื้อผ้าร้านนึงก็เห็นผู้หญิงหน้าตาสวยเลยนะกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ เราเห็นข้างหลังเขาเหมือนมีอะไรเป็นก้อนดำๆ ติดอยู่ก็เลยเอื้อมมือจะปัดให้ แต่พอเข้าไปใกล้สะดุ้งโหยงเลย ชักมือกลับแทบไม่ทัน มันเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่เพิ่งมีลูกตาเกาะอยู่ เราเลยรู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ทำแท้งมา ซึ่งเดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นทุกปี บางคนสวยขนาดนางแบบเลยแต่มีเกาะอยู่ที 3 ก้อน ของแบบนี้เนี่ยทำบุญอุทิศส่วนกุศลก็ไม่หายไปหรอก เขาจะอยู่

 

มีเรื่องหนึ่งที่ได้ยินก่อนมานั่งคุยกับเซนซ์ก็คือ ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ ถ้าคุยเรื่องผีกันและเผอิญว่าบริเวณนั้นมีผีอยู่ด้วยก็ไม่พลาดที่เขาจะมายืนฟัง

 

"ข้างหลังพี่นี่มีสัก 3 ตัวมั้ย" ผมแกล้งแหย่เซนซ์ดูว่าเธอจะเห็นสักกี่ตัว

 

เซนซ์มองข้ามไหล่ผมไปแล้วส่ายหน้าเบาๆ

 

"ไม่ค่ะ มีมากกว่านั้น แต่ไม่ต้องกังวลหรอกค่ะ เขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก"

ยอมรับว่าขนลุกเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกใจกลัว

 

"แล้วในนี้ล่ะ มีใครที่มีวิญญาณตามอยู่บ้าง"

เซนซ์หันมองไปรอบๆ หยุดเพ่งตรงนั้นตรงนี้เป็นระยะๆ แล้วก็หันมาบอกกับเรา

"เห็นผู้หญิงใส่เสื้อสีเขียวที่นั่งอยู่ด้านหลังเซนซ์มั้ย ที่ติดกระจกน่ะ เขามีอาแปะแก่ๆ ยืนอยู่ข้างหลังด้วย"

 

พวกเราทั้งหมดหันมองตามที่เธอบอก แต่เท่าที่เห็นคือผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่คนเดียว

 

"เป็นอาแปะแก่ๆ ใส่ชุดขาว น่าจะมาดีนะ เป็นวิญญาณพิทักษ์ สงสัยว่าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของเขาคอยตามดูแลอยู่"

 

"แล้ววิญญาณอาฆาตล่ะ เซนซ์เห็นบ้างมั้ย"

 

"ในนี้ไม่มี แต่เห็นเด็กวัยรุ่น 2 คนที่กำลังเดินมาหรือเปล่า" เธอมองทะลุกระจกออกไปนอกร้าน

 

"คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินมีวิญญาณผู้ชายสีดำลอยตามอยู่ เป็นวิญญาณอาฆาต"

 

"แล้วอยากไปบอกเขามั้ย คือไปเตือนน่ะ"

 

"ถ้าไม่รู้จักก็จะไม่บอก แต่ถึงรู้จักก็บอกตรงๆ ไม่ได้ มันมีผลสะท้อน อาจจะเข้าตัวเราหรือมาอาฆาตเราแทน ฉะนั้นถ้าต้องบอกก็จะบอกอ้อมๆ หรือฝากบอกคนใกล้ตัวเขาแทน เช่น ให้ไปทำบุญบ้างนะ อะไรทำนองนี้"

 

"พวกเรา 3 คนล่ะ มีใครเกาะหลังอยู่มั้ย"

 

ถึงตอนนี้น้องกิ๊บกับน้องกบเริ่มมองหน้ากันแล้วยิ้มแห้งๆ

 

"ของพี่มีควันขาวๆ ลอยอยู่ เครียดเรื่องงานอยู่ใช่มั้ย ของกบก็เหมือนกัน เป็นควันขาวๆ"

 

"แล้วของกิ๊บล่ะ"

 

"ไม่มีนะ แต่มีเด็กผู้ชายตามอยู่ข้างหลัง มีน้องหรือพี่ชายใช่มั้ยคะ"

 

"อืม...อันนี้พอรู้ค่ะ อุ๊ย! ขนลุกเลย" กิ๊บหน้าซีดไปแล้ว

 

เรื่องนี้กิ๊บเคยเล่าให้ผมฟังเหมือนกันว่า เคยมีคนทักว่ามีเด็กเดินตามอยู่แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร จนเมื่อเซนซ์ทัก เจ้าตัวก็กลับไปถามแม่อีกครั้งเพื่อยืนยัน ปรากฏว่าแม่ของกิ๊บเคยแท้งลูกชายก่อนหน้าที่เธอจะเกิด

 

แล้วจู่ๆ โต๊ะด้านหลังเราก็มีดาราลูกครึ่งคนหนึ่งถือแก้วกาแฟมานั่งกับเพื่อนๆ กบรีบถามทันทีว่ามีไหม

 

"มี! เป็นวิญาณผู้ชาย 2 คน มาดีไม่ได้มาร้ายหรอก"

 

"แล้วอย่างนี้เวลาที่เราไปซื้อของเก่าอย่างพวกเสื้อผ้ารองเท้าเนี่ยจะมีตามมามั่งป่ะ" กบถามต่อ

 

"ถ้าเป็นเสื้อผ้ารองเท้าไม่ค่อยมีหรอก แต่ถ้าเป็นพวกแหวน นาฬิกา หรือข้าวของที่มีคุณค่าทางจิตใจเนี่ยถ้าเจ้าของยังหวงอยู่ก็จะตามมา อย่างตอนเด็กเซนซ์เคยไปเดินเล่นกับคุณพ่อแล้วเขาชวนเข้าร้านนาฬิกาเก่า จำได้ว่าคนเต็มร้านเลย แต่พอมองไปอีกทีไม่ใช่คน วิญญาณทั้งนั้น"

 

จากที่นั่งยิ้มๆ อยู่ เซนซ์ก็หน้าเลิ่กลั่กแล้วอุทานออกมาเสียงดัง

"โอ๊ย! ทำไมเยอะอย่างนี้" เรามองหน้ากันไปมาแล้วถามเธอกลับไปว่าอะไรเยอะ

 

"ก็ไอ้นั่นนั่นแหละ" พี่สาวแนะนำให้เธอเปลี่ยนร้านทันที แต่เซนซ์ยังนั่งนิ่งก้มหน้าส่ายหัว

 

"ไม่เป็นไร ยังไงเขาก็ทำอะไรเราไม่ได้อยู่แล้ว

 

"เยอะแค่ไหน" ตอนนี้คนในร้านพลุกพล่านมากกว่าเก่า ประมาณดูก็น่าจะราว 50 คนขึ้นไป

 

"ก็พอๆ กับคนในร้านแหละ โอ๊ย! จะเยอะไปไหน" เยอะไม่ว่าแต่อย่ามีตัวไหนนึกสนุกโดดมาเกาะหลังแล้วกัน ทุกวันนี้แค่เจ้าหนี้ตามหลอนก็ประสาทเสียพออยู่แล้ว ผมคิด

 

"ที่แบบนี้ยังไม่เท่าไหร่นะ ถ้าเป็นแถวถนนรัชดาหรือถนนเพชรบุรีเนี่ยเยอะมาก แล้วก็ใช่ว่าจะมาสภาพดี ยิ่งในห้างฯ… (ขอสงวนชื่อแต่อยู่ถนนรัชดา) เยอะมาก"

 

พี่เขยของเซนซ์เสริมมาว่า แถวนั้นเคยเป็นป่าช้าเก่ามาก่อน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีเยอะเป็นธรรมดา และถ้าจะทำธุรกิจให้รุ่งก็ควรจะเป็นธุรกิจอโคจร

 

"แล้วในสยามที่ไหนเยอะสุด" ตอนนี้แดดยามเย็นมาถึงแล้ว

 

"ถ้าพี่อยากเจอนะ พี่ไปศูนย์หนังสือ... (ขอสงวนชื่อ) ขึ้นไปชั้น 2 มุมขวามือ ตรงนั้นมียืนมุงกันอยู่เพียบ ไม่รู้มุงอะไรอยู่ หรือไม่อีกที่นึงเจอแน่ๆ ป่าช้าวัดดอน"

 

"ป่าช้าวัดดอนเขารื้อไปแล้วนี่"

 

"เขาเอาไปแต่ร่าง แต่ที่เหลือยังอยู่"

 

"นอกจากในสถานที่แล้ว ตามถนนนี่เจอบ้างไหม"

 

"เยอะ! ส่วนใหญ่ไม่ครบ 32 หรอก มีครั้งหนึ่งขับรถไปแถว 4 แยกแล้วเด็กที่ไหนไม่รู้ก็โดดมาตัดหน้าตกใจเบรกจนเกือบเสียหลัก หันไปดูอีกทีไม่มีอะไรเลย บางครั้งเราก็เจอนั่งอยู่ตามเสาไฟฟ้า แต่มีครั้งหนึ่งตกใจมาก เราขับรถอยู่บนทางด่วน จู่ๆ ก็มีหน้ามาแปะที่กระจกฝั่งคนนั่งด้านหน้า หันไปมองก็เห็นเป็นหน้าเพื่อนที่เพิ่งตายไป เราไม่เคยไปงานศพเขาเลยไง สงสัยว่าเขาจะมาบอกลาน่ะ"

 

"สถานที่ทั่วไปก็มี ตามถนนก็มี ถ้าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระอยู่อย่างในวัดเนี่ย ไม่น่าจะมีนะ"

 

เซนซ์หัวเราะฮึๆ เหมือนผมพูดอะไรไม่ถูก

 

"ตัวเยอะเลยพี่ แม้แต่ในโบสถ์ยังมีเลย ล่าสุดแม่เพิ่งชวนไปถวายสังฆทานมา เราก็ไม่อยากจะไปเล้ย แต่แม่ก็อยากให้ไป เอ้า! ไปก็ไป พอถวายสังฆทานเสร็จเขามีกรวดน้ำใช่มั้ย เราก็ก้มกรวดน้ำอยู่ พักเดียวเอาแล้ว รอบๆ ตัวมีเท้ามารายล้อมเต็มไปหมด คือเขามารอรับส่วนบุญที่เราทำไปน่ะ"

 

"แล้วอย่างนี้ในโรงพยาบาลก็เต็มเลยสิ เพราะมีคนตายบ่อย" กบเริ่มถามต่อ

 

"จะมีเยอะในวอร์ดฉุกเฉิน และก็ในรถฉุกเฉิน อันนี้เจอตอนที่อาม่าป่วยต้องเรียกรถฉุกเฉินมารับ แล้วแม่ก็ให้เรานั่งไปเป็นเพื่อน ไม่อยากจะขึ้นเลยนะ เพราะรู้ว่ามีแน่ๆ แล้วก็มีจริงๆ นั่งเรียงกันเป็นแถวเลย ในวอร์ดฉุกเฉินนี่บางทีเห็นแบบยืนร้องไห้อยู่ข้างศพตัวเองเลยนะ คือเพิ่งรู้ว่าตัวเองตาย ยังทำใจไม่ได้"

 

"แล้วสมมุติว่าถ้าเราจะหนีผีเนี่ย เรานั่งเครื่องบินไปต่างประเทศผีจะตามไปมั้ย" กบถามไปกลั้วหัวเราะไป

 

"ไม่รู้เหมือนกันแต่คิดว่าตามไปได้นะ ถ้าไม่มีเจ้าที่คอยกั้นไว้"

 

พี่เขยเซนซ์เสริมว่าเจ้าที่ก็เหมือนกับด่านตม. ถ้ามาดีก็สามารถเข้าในสถานที่ที่เขาดูแลได้ แต่ถ้าร้ายก็หมดสิทธิ์

 

"เจ้าที่เราชอบนะ เขาสวยงามดี แต่งตัวดี อย่างไปกินข้าวบางร้านเนี่ยเจ้าที่มานั่งด้วย บอกว่าอยากได้พวงมาลัย เราเล่าให้พี่สาวฟังเขาบอกว่าจะซื้อให้ เจ้าที่ก็ไม่เอาจะให้คนในร้านซื้อให้ เราก็ต้องบอกให้คนในร้านไปซื้อพวงมาลัยมาไหว้ซะ แต่บางบ้านที่เจอเนี่ยเจ้าที่ใส่เสื้อขาดๆ นะ ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าของบ้านไม่ยอมดูแลเลย"

 

เรื่องเจ้าที่เจ้าทางที่เกิดขึ้นหมาดๆ ก็คือ เซนซ์ไปดูให้กับเพื่อนพี่เขยคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของตึกอยู่แถวอโศก เดินมองหาเจ้าที่อยู่ทุกชั้นไม่เจอ ไปเจอเอาชั้นดาดฟ้าแต่ก็ดันเป็นเจ้าที่ตึกข้างๆ พอได้เจอตัวเจ้าของตึกจึงรู้ว่าเจ้าที่เกาะติดอยู่ข้างหลังนั่นเอง ในกรณีนี้หมายถึงมาขอแบ่งส่วนบุญด้วย ทางแก้ก็คือบอกกล่าวและตั้งศาลเอาไว้ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง

 

"เจ้าที่เนี่ยบางครั้งเราก็ไม่เห็นเป็นรูปร่างนะ แต่บางทีก็เป็นแสง บางครั้งสว่างมากเลย อย่างพระพรหมตรงแยกเอราวัณ เห็นแสงมาแต่ไกลเหมือนดวงอาทิตย์ แต่ใช่ว่าจะเป็นอย่างนั้นทุกที่นะ แสงสว่างแต่ละที่จะไม่เท่ากัน"

 

ทั้งวงเงียบกันไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ เซนซ์ก็หันมาบอกกับผมอีกครั้งว่านอกจากควันขาวๆ แล้ว ยังเหมือนมีร่องรอยของเงาดำๆ ติดอยู่

 

"แฟนเก่ายังมีชีวิตอยู่มั้ยคะ"

 

"มีครับ เขาเพิ่งโทรมาคุยเมื่อไม่กี่เดือนมานี้"

 

"ที่เห็นเนี่ยเหมือนกับว่าเขาอาฆาตอยู่นะ แต่คือไม่อยู่แล้ว เห็นแต่เป็นร่องรอย"

 

"แต่เขายังมีชีวิตอยู่นะ ล่าสุดก็คุยกันดี ไม่น่าจะใช่หรอก"

 

"หรือไม่อีกอย่างหนึ่งก็คือไปเหยียบอะไรผิดที่ผิดทางมาแล้ววิญญาณตรงนั้นตามกลับมาด้วย"

 

"อันนี้ไม่รู้เหมือนกันครับ ไปหลายที่เหลือเกิน"

 

"เท่าที่เซนซ์เห็นคิดว่ามีผู้หญิงอาฆาตอยู่นะ ยังไงๆ ถวายสังฆทานแล้วกรวดน้ำให้เขาบ้างก็ดีค่ะ"

 

 

สถานที่ : บ้านพัก

เวลา : ตี 3 ครึ่ง

 

กลางคืนก็ยังเป็นกลางคืนอยู่เหมือนเดิม คือมืดและลึกลับ ส่วนจะกลัวหรือไม่กลัวโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าอยู่ที่จิตในขณะนั้นของแต่ละคน

 

ดึกสงัดคืนนี้ผมกำลังเรียบเรียงเรื่องราวของเซนซ์อยู่ แวบหนึ่งก็คิดถึงช่วงเวลาท้ายๆ ของการสัมภาษณ์

 

"การที่ใครสักคนเห็นผีทุกวันทุกที่มันจะช่วยบอกอะไรกับชีวิตเราได้เหรอ"

 

"เราจะรู้ว่าบาปบุญมีจริง เดี๋ยวนี้กรรมมันติดเจ็ตแล้วนะ ผู้หญิงที่ไปทำแท้งอย่าคิดนะว่าเขาจะหายไปเขาอยู่ข้างหลังนั่นแหละ ผู้ชายที่ไปทำผู้หญิงเจ็บแค้น ผู้หญิงที่ไปทำผู้ชายเจ็บแค้น ท้ายสุดมันก็เป็นเจ้าหนี้ เจ้ากรรมกัน ติดตามกันไปตลอดเวลา"

 

สมัยนี้ใครเขาจะเชื่อเรื่องกรรมเวร?

 

ในเมื่อเห็นๆ กันอยู่ว่ามือใครยาวสาวได้สาวเอา ด้านได้อายอด โกงแล้วรวยดูดีกว่าอยู่อย่างซื่อสัตย์แล้วยากจน

 

ถ้าคนส่วนใหญ่ปักใจไปในทางนี้แล้ว อย่าว่าแต่เห็นผีลางๆ เลย ต่อให้มาแลบลิ้นปลิ้นตาควักตับไตไส้พุง ตรงหน้า มันจะเหลือค่าอะไรให้น่ากลัว

 

แต่ว่าก็ว่าเถอะ... ขณะที่อ่านเรื่องนี้อยู่ คุณรู้สึกเหมือนผมไหมว่า มีอะไรบางอย่างกำลังอ่านเรื่องนี้ไปพร้อมกับเรา...อยู่ข้างหลัง!

No comments: