Thursday, May 22, 2008

:: u n z e e n :: The Sanctuary ชาร์ตไฟได้ทุกอย่าง

[]
 
 
 

The Sanctuary

อุปกรณ์ชาร์จไฟครบวงจรสำหรับทุกอย่าง..จริงๆ

blueLounge

คือผู้ผลิตสินค้าชิ้นนี้ แต่เดิมแล้ว blueLounge เป็นบริษัทพวกรับออกแบบผลิตภัณฑ์แนวหรูๆไฮโซ เน้นดีไซด์มาก่อน คล้ายๆของพวก ฟิลลิป สตาร์ก แต่มาตอนหลัง blueLounge ก็คงคิดได้ว่าทำให้คนอื่นรวยมาเยอะแล้ว เลยออกมาทำสินค้าของตัวเองหลากหลายแบบโดยเน้นสินค้าแนวไอทีเป็นหลัก

The Sanctuary
เป็นสินค้า Line ใหม่ของทาง blueLounge ดูเหมือนว่าเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ค่อยจะมีอะไรเท่าไรนักแต่จริงๆแล้วค่อนข้างมีประโยชน์มากครับ งานของ blueLounge ที่ผ่านมาๆ จะพบว่าเป็นพวกสินค้าดูหน้าตาธรรมดา แต่มันมีเอกลักษณ์สไตล์ฝังไว้ นั่นก็คือเรียบง่ายแต่มีประโยชน์ใช้งานได้จริง ถ้าหากเราต้องการความเป็นระเบียบ เพราะทุกวันนี้พอกลับถึงบ้าน ก็วางกระเป๋าสตางค์ กุญแจรถ นาฬิกา มือถือ วางกระจัดกระจายมาก บางทีลืมชาร์จมือถือ หรือ PDA Phone อีกต่างหาก เจ้า The Sanctuary เลยเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาช่วยจัดสรรทุกอย่างให้เป็นระเบียบขึ้น ก็ด้วยเหตุนี้แหละครับเลยยอมจ่ายซื้อมาจากทางเว็บไซด์ Online แต่พอของมาถึงผมเพิ่งจะทราบว่า เมืองไทยก็มีขายเหมือนกัน ราคาถูกกว่าอีก โหหห งานนี้เศร้าเลยครับ แต่ก็ช่างมัน ปลอบใจตัวเองก็ถือว่าได้ของส่งตรงถึงบ้านก็แล้วกันไม่ต้องไปเดินซื้อให้เมื่อยขา แม้ผมจะซื้อแพงกว่าก็ตาม

The Sanctuary (
แซงชัวรี่ ) เป็นถาดใส่อุปกรณ์ที่สามารถชาร์จไฟ อุปกรณ์หลายๆตัวได้ในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น iPhone , PDA Phone, กล้อง , MP3 ,หูฟัง Bluetooth และอีกสารพัดที่อยากจะชาร์จ เพราะกล่อง The Sanctuary นี้มันมี Connector ให้มาหลายแบบ ชาร์จได้แทบทุกอย่างจริงๆ เพราะอย่างเครื่อง Palm ตัวเก่าผมเองก็ทำเครื่องชาร์จพังไปแล้ว แต่ The Sanctuary ก็มี Connector สามารถชาร์จได้ นอกจากจะชาร์จแล้วยังเอาสิ่งของพกพาที่จำเป็นอื่นๆของเรา เอามาวางรวมกันไว้ที่เดียวกันได้เลย ก็สะดวกดีเวลาออกจากบ้านก็ไม่ต้องไปหาว่าวางไว้ที่ไหนบ้าง เพราะนี้คือนิสัยเสียของผมเลย บางทีกลับบ้านมาแล้ววางของไม่เป็นที่เป็นทาง

เราลองมาเปิดกล่องดูการใช้งาน The Sanctuary กันเลยดีกว่าครับ

หน้าตากล่องที่บรรจุมานั้น หรูกว่าที่คิดเยอะ มาสไตล์อย่างกับสินค้าพวก Appple เลย กล่องมันสวยจนผมไม่อยากทิ้งเลย ดูแล้วก็แน่นหนาดี

ซึ่งพอเปิดกล่องมาแล้วก็จะพบ คู่มือการใช้งาน พิมพ์อย่างดี และตัวกล่อง The Sanctuary สีขาววางอยู่อย่างเป็นระเบียบ พร้อมถาดวางกำมะหยี่ ที่สามารถวาวงสลับได้สองด้าน ว่าจะเอาสีดำหรือสีครีม

ภายในกล่อง The Sanctuary ด้านล่างจะมี Hub สำหรับการเชื่อมต่อ Connector ต่างๆวางเรียงไว้ให้เลือกใช้ สายเยอะมากครับ อย่างกับงูเก็งกอง เท่าที่อ่านดูจากคู่มือนั้น พบว่ามันสามารถชาร์จอุปกรณ์ต่างๆได้มากกว่า 1500 ชนิด โดยสามารถเลือกใช้หัวต่อที่ให้มา สารพัดรูปแบบ ไฟที่จ่ายคือ 5.7 Volts และแต่ละหัวจะจ่ายไฟที่ 500mA แยกอิสระในแต่ละหัว

สินค้าตัวนี้ราคาค่อนข้างสูงเพราะเหตุว่ามันมีตรารองรับอย่างเป็นทางการว่า สามารถใช้งานกับเครื่อง iPhone หรือ iPod ได้อย่างไม่มีปัญหา เพราะเท่าที่ผมทราบสินค้าอุปกรณ์เสริมใดก็ตามถ้ามีเจ้าตรานี้ เจ้าของสินค้าต้องเพิ่มต้นทุนค่าตรารับรองไปอีกประมาณเกือบ 20% ถ้าไม่มีตราดังกล่าว ราคาอุปกรณ์ก็น่าจะถูกลงกว่า 20% เป็นอย่างน้อย
สรุปแล้ว ไอ้ตัวโลโก้นี้แหละครับที่ทำให้เจ้า The Sanctuary มีราคาแพงขึ้น

ตัวกล่องของ The Sanctuary เป็นกล่องพลาสติกสีขาว เกรดพลาสติกดีมาก คล้ายๆพลาสติกในเครื่อง iPod และด้านหลังมีแผ่นยางรองกันลื่น แบบเดียวกับพวกแท่นของ iPod หรือ iPhone

หัวการเชื่อมต่อมีให้เลือก

11 แบบ เค้าบอกว่ารองรับอุปกรณ์ในตลาดทั่วไปได้กว่า 1500 ชนิด ตัวกล่องของ The Sanctuary เขียนว่า Made in China แต่ตัวแผงวงจรที่ใช้ ทำในอเมริกา คุณภาพก็คงน่าจะเชื่อถือได้มากขึ้น

ภายในจะมีขาล๊อคจัดระเบียบสายซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง

หมายเลข 11 เป็นช่องสายสำหรับการชาร์จ iPhone กับ iPod

การใช้งานนั้นจะมีหม้อแปลงให้มาหนึ่งตัว สามารถนำมาเสียบต่อ Hub ในกล่องได้ หากว่าหัว Connector ที่ให้มาสารพัดแบบนั้น หากมันไม่รองรับอุปกรณ์ของเราจริงๆ เค้ายังมีเผื่อช่อง USB ไว้ให้อีกช่อง สำหรับเอาสานเฉพาะทางมาเสียบต่อได้

เอาสายหม้อแปลงเสียบเข้าไปกับตัว Hub ได้โดยตรง

เมื่อเสียบแล้วจะมีไฟแสดงโชว์ชึ้นมา



การใช้งานก็เพียงแต่เลือกสายที่ต้องการใช้ชาร์จไฟ แล้วลากสายมาไว้ด้านบน แล้วเอาถาดกำมะหยี่ที่ให้มานั้นปิดรองเอาไว้เพื่อความสวยงาม และเป็นระเบียบ

จาการทดสอบการใช้งานพบว่า ไฟที่จ่ายออกมานั้น กำลังไฟค่อนข้างสูงกว่าที่เราใช้ต่อจาก PC โดยตรง สามารถชาร์จไฟได้เต็มเร็วกว่า ซึ่งก็เป็นข้อดีของเจ้า The Sanctuary ตัวนี้ ไฟจ่ายได้นิ่งมากครับ เข้าใจว่าคงใช้หม้อแปลงภายในเกรดค่อนข้างดี เพราะลองเอามิเตอร์จับดู พบว่าไฟแต่ละเส้นจ่ายไปได้นิ่งไม่มีการดึงกัน ซึ่งจะช่วยให้อุปกรณ์ของเรามีอายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้นด้วย

No comments: