ตรวจก่อน รู้ก่อน ปลอดภัยกว่า
นอกเหนือไปจากความงามแล้วความสดใส กระปรี้กระเปร่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิง คนที่จะมีบุคลิกเช่นนี้ย่อมเป็นคนที่มีสุขภาพจิตและสุขภาพกายแข็งแรงดี
สุขภาพของคุณนั้นดีแค่ไหน การตรวจร่างกายจะช่วยบอกคุณได้ เพื่อให้เราได้รู้ความเป็นไป หรือสัญญาณเตือนจากภายในของเรา เพื่อที่จะสามารถดูแล ปรับปรุง หรือจัดการได้ทันท่วงทีก่อนที่โรคต่างๆ จะก่อตัวขึ้นมานั่นเอง ผู้หญิงสมัยนี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าแต่ก่อน เพราะดูแลรักษาสุขภาพร่างกายในเชิงป้องกัน ซึ่งการตรวจสุขภาพเบื้องต้นก็เป็นวิธีเชิงป้องกันที่ดี ที่สามารถบ่งบอกถึงสุขภาพ และจะช่วยให้ตรวจพบโรคหรือความผิดปกติต่างๆ ก่อนที่จะมีอาการ ซึ่งระยะดังกล่าวการรักษาจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การตรวจสุขภาพชนิดใดบ้างที่จำเป็นสำหรับผู้หญิง
การตรวจเต้านม
เต้านมเป็นส่วนสำคัญที่ผู้หญิงทุกคนหวงแหน การตรวจเต้านมทำได้หลายวิธีแต่พื้นฐานคือการตรวจด้วยมือ แม้ว่าการตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือนสามารถช่วยให้ผู้หญิงตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของเต้านมก่อน แต่การตรวจที่ดีที่สุดสำหรับมะเร็งเต้านมคือการตรวจเต้านมทางคลินิก และการทำแมมโมแกรม โดยผู้หญิงควรตรวจมะเร็งเต้านมทางคลินิกทุกๆ 3 ปี ก่อนที่อายุครบ 40 ปี หลังจากนั้นต้องไปตรวจแมมโมแกรม ทุกๆ ปีเมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป
การตรวจมะเร็งปากมดลูก (Pap Test)
การตรวจมะเร็งปากมดลูก (Pap test) ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้หญิงไม่ควรพลาด เพราะมะเร็งปากมดลูกเมื่อรู้ก่อน รักษาได้เร็ว มีโอกาสหายได้สูง การตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูก จะเป็นการตรวจภายใน โดยแพทย์จะนำเซลล์จากปากมดลูกไปตรวจหาความผิดปกติของมะเร็งที่ยังไม่แสดงอาการ โดย U.S. Preventive Services Task Force (USPSTF) ได้แนะนำให้ผู้หญิงทำการตรวจมะเร็งปากมดลูกในช่วงประมาณ 3 ปี หลังจากเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก หลังจากนั้นควรกลับไปตรวจซ้ำอีกทุกๆ 3 ปี
การตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
การตรวจเบาหวาน
ปัจจุบันผู้หญิงมีสถิติเป็นโรคเบาหวานกันมากขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานหรือเป็นโรคอ้วน หรือบางคนที่มีไขมันบริเวณหน้าท้องมาก ก็มีงานวิจัยออกมายืนยันแล้วว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนน้ำหนักตัวปกติ หรือคนที่มีไขมันบริเวณส่วนๆ อื่นมากกว่าหน้าท้อง โดยผู้หญิงส่วนใหญ่จะเริ่มเป็นเบาหวานในช่วงวัยกลางคน แต่มีแนวโน้มพบมากขึ้นในวัยรุ่น บาหวานชนิดที่เป็นกันมากก็คือ เบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอหรือไม่สามารถใช้อินซูลินได้ตามปกติ
American Diabetes Association (ADA) แนะนำว่าผู้หญิงควรตรวจโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทุกๆ 3 ปีนับตั้งแต่อายุ 45 ปี ถ้าไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว หรือมีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน เช่น มีดัชนีมวลกาย (BMI) ระหว่าง 25-29 หรือเป็นโรคอ้วน มีดัชนีมวลกาย 30 ขึ้นไป ควรไปตรวจเร็วขึ้นและถี่ขึ้น
การตรวจหาโรคหัวใจ
ทุกวันนี้ต้องยอมรับกันว่ารูปแบบการกินของเราเปลี่ยนแปลงไปมาก อาหารไทยที่เคยเน้นผัก ปลา น้ำพริก มาเป็นอาหารสำเร็จรูป ฟาสต์ฟู๊ด การรับประทานอาหารไขมันสูงมากขึ้น และที่สำคัญขาดการออกกำลังกาย จึงทำให้เป็นโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ทั้งหมดนี้ล้วนส่งผลต่อการเป็นโรคหัวใจ เป็นที่สังเกตว่าในผู้หญิงอาจจะไม่รู้สึกถึงอาการเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แต่ผู้หญิงมักมีโอกาสมากกว่าผู้ชายที่จะมีอาการอาหารไม่ย่อย หายใจลำบาก หรือเจ็บปวดกล้ามเนื้อ แทนที่จะมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างทั่วๆ ไป
ผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป ควรตรวจระดับความดันโลหิต และระดับโคเลสเตอรอลเป็นประจำ แต่สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น เป็น เบาหวาน หรือสูบบุหรี่ ควรเริ่มไปตรวจระดับโคเลสเตอรอลตั้งแต่อายุ 20 ปี โดย National Heart, Lung and Blood Institute แนะนำว่าผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจเช็คระดับโคเลสเตอรอลทุกๆ 5 ปี
การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก
การตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก
กระนั้นการป้องกันโรคกระดูกพรุนควรเริ่มตั้งแต่วัยรุ่น โดยการสะสมความหนาแน่นของกระดูกด้วยการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง ออกกำลังกายที่มีแรงกดกระแทกอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากเข้าสู่วัยทองแล้วการเสริมความหนาแน่นของกระดูกคงเป็นไปไม่ได้
การตรวจไทรอยด์
American Thyroid Association แนะนำให้มีการตรวจเลือดหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ TSH (thyroid stimulating hormone) เพื่อตรวจหาความผิดปกติของไทรอยด์ โดยผู้หญิงควรตรวจหาความผิดปกติของไทรอยด์ ตั้งแต่อายุ 35 ปีขึ้นไป และควรตรวจซ้ำเป็นประจำทุกๆ 5 ปี ทั้งนี้ความผิดปกติของการทำงานของต่อมไทรอยด์ จะนำมาซึ่งความผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย และที่สำคัญในหญิงที่ต้องการมีบุตรก็ควรตรวจไทรอยด์ก่อนคิดตั้งครรภ์ แม้ว่าคุณจะอายุไม่ถึง 35 ปีก็ตาม เพื่อความปลอดภัยทั้งต่อตัวคุณแม่และคุณลูกเอง
การตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่
USPSTF แนะนำว่าผู้หญิงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งที่เกิดจากติ่งเนื้อมากๆ ในลำไส้ หรือมีภาวะถ่ายทอดมะเร็งลำไส้ทั้งแบบไม่สัมพันธ์กับติ่งเนื้อ หรือตนเองมีประวัติเคยเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ก็ควรเริ่มตรวจลำไส้ใหญ่ให้เร็วขึ้น ซึ่งก็สามารถทำการตรวจได้หลายวิธี เช่น การตรวจหาเลือดที่แฝงมากับอุจจาระ การส่องกล้องผ่านทางทวารหนัก (sigmoidoscopy) ที่ใช้กล้องที่ยืดหยุ่นบางๆ เข้าไปตรวจลำไส้ส่วนปลายเพื่อหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง
การส่องกล้องลำไส้ใหญ่ทั้งหมด (colonoscopy) ที่ใช้กล้องที่ยาวกว่าตรวจสอบทั้งลำไส้เพื่อหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง การตรวจเอกซเรย์ barium enema ที่แพทย์จะเอกซเรย์ลำไส้เพื่อหาก้อนเนื้อก่อนเป็นมะเร็ง โดยคุณอาจปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีในการตรวจที่เหมาะกับคุณมากที่สุด
และทั้งหมดนี้ก็เป็นการตรวจพื้นฐานเพียง 8 อย่างที่สำคัญเท่านั้นที่จำเป็นสำหรับคุณผู้หญิง ในแต่ละช่วงวัย หรือในภาวะที่ต่างกันออกไป คุณอาจจะรอตรวจพร้อมกับตรวจสุขภาพประจำปี หรืออาจจะไปรับการตรวจเป็นการเฉพาะก็ได้ ปัจจุบันในโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ก็มีแพคเก็จตรวจสุขภาพหลากหลายแบบให้เลือกในราคาที่ต่างกันออกไป และส่วนใหญ่ก็จะมีการตรวจพื้นฐาน 8 อย่างนี้รวมอยู่ด้วย หากขาดอย่างใดไปคุณก็สามารถขอตรวจเพิ่มได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีก็เพียงเพื่อเมื่อเรารู้ตัวก่อน เราก็จะได้ทันระวังรักษาได้ก่อน และโรคต่างๆ ก็จะได้ห่างๆ ไกลคุณผู้หญิงออกไปไงคะ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นการตรวจพื้นฐานเพียง 8 อย่างที่สำคัญเท่านั้นที่จำเป็นสำหรับคุณผู้หญิง ในแต่ละช่วงวัย หรือในภาวะที่ต่างกันออกไป คุณอาจจะรอตรวจพร้อมกับตรวจสุขภาพประจำปี หรืออาจจะไปรับการตรวจเป็นการเฉพาะก็ได้ ปัจจุบันในโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ก็มีแพคเก็จตรวจสุขภาพหลากหลายแบบให้เลือกในราคาที่ต่างกันออกไป และส่วนใหญ่ก็จะมีการตรวจพื้นฐาน 8 อย่างนี้รวมอยู่ด้วย หากขาดอย่างใดไปคุณก็สามารถขอตรวจเพิ่มได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็มีก็เพียงเพื่อเมื่อเรารู้ตัวก่อน เราก็จะได้ทันระวังรักษาได้ก่อน และโรคต่างๆ ก็จะได้ห่างๆ ไกลคุณผู้หญิงออกไปไงคะ
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
No comments:
Post a Comment