Thursday, October 30, 2008
Wednesday, October 29, 2008
:: u n z e e n :: น้องหมาหัวเราะตอนไหน??
~ รู้หรือเปล่าว่าน้องหมาหัวเราะตอนไหน ~
| |||
| |||
| |||
|
:: u n z e e n :: ถ้าไม่แบกก็คงไม่หนัก
พระบวชใหม่รูปหนึ่งเดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณเพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ นั่นเอง จู่ๆ มีชายผู้หนึ่งใส่สูท ผูกเนคไท สวมแว่นตาดำ เดินเข้ามาหาท่าน พร้อมชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย
พระรูปนั้นตกตะลึง รีบเดินหนี แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว แต่เสียงด่าทอของเขายังก้องอยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ เมื่อกลับมาถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตนซึ่งเป็นพระ และตนก็จำได้ว่าตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด คิดมาถึงขั้นว่าตนไม่ผิด แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์ แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ
เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตรเดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม ตั้งใจว่าวันนี้ จะต้องถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว
ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พบ ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่ง สวมสูท ผูกเนคไท ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า 'อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์ ' ที่เห็นคือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแม่แห่งหนึ่ง ข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่ พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอเห็นท่านเท้านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า 'ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ บัดนี้พระองค์ทรงกลับมาครองพาราณสีอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ …' ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเฉิบๆ พลันที่ท่านประเมินได้ว่าชายแต่งตัวดี คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้น
ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนอยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวันก็อันตรธานไปอย่างง่ายดายชนิดไร้ร่องรอย
ทำไมเราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน แต่กับคนปกติ ทำไมเราจึงมีความรู้สึกว่าต้องเอาเรื่องราวให้ถึงที่สุด เราบ้าหรือเปล่า?
ที่สุดของการถือสา
เคยมีคนกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ถ้าหากจะย่อหลักธรรมของพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆ ทว่าครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพุทธศาสนา จะสรุปได้ว่าอะไร พระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้น ก็ขอสรุปว่าใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า
' สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น '
ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์
ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด
ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์มาก ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์
ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ' การปล่อยวาง '
ทำไมจึงต้องปล่อยวาง เพราะทุกอย่าง ' มีความว่าง ' มาแต่เดิม
คนที่หลงกอด ' ความว่าง ' โดยคิดว่าเป็น ' ความมี '
ทำไมจะไม่ทุกข์ล่ะ
หลายคนชอบกอดไว้หมดทุกเรื่อง ทุกปัญหา ทุกคน แล้วยกขึ้นไปแบกไว้บนบ่า
จากนั้นก็มานั่งเป็นทุกข์ว่า
ทำไมชีวิตถึงได้เหนื่อยล้าขนาดนี้ หมดเรี่ยวหมดแรง เหมือนโลกทั้งโลกกำลังกดทับ
ก็เล่นถือเอาทุกเรื่อง เป็นเรื่องของตัวหมดเลยนี่
ถ้าไม่แบกเอาไว้ก็คงไม่หนัก ถ้าไม่ถือเอาไว้ก็คงไม่เหนื่อย
แต่ก็นั่นแหล่ะ บางคน ' วาง ' ไม่เป็น มีจิตฟุ้งซ่าน
ต้องการจะเป็นธุระไปเสียทั้งหมด
ก็ต้องแลกเอากับผลลัพธ์ที่ทำให้ทุกข์
Tuesday, October 28, 2008
:: u n z e e n :: ผู้หญิงเข้าใจยากจริงหรือ
≈♥♥≈ ผู้หญิงเข้าใจยากจริงหรือ!? ≈♥♥≈
"ผู้หญิง 3 แบบที่คุณอาจไม่เข้าใจ"
หลายครั้งที่ผู้หญิงมักแสดงอาการแปลก ๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ โดยเฉพาะในยามที่รู้สึกไม่พอใจกับอะไรบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนรัก เมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงรู้สึกว่าคนรักของตนเปลี่ยนแปลงไป โดยสงสัยว่าอาจจะมีใครอีกคนเข้ามาทำให้เค้าเปลี่ยนไป การแสดงออกของแต่ละคนจะแตกต่างกัน
แบบที่ 1 ระเบิดอารมณ์
ผู้หญิงแบบนี้มักจะเก็บอารมณ์ไม่ค่อยได้ จะต้องซักถามเอาคำตอบทันที บางรายจะชวนทะเลาะ แสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด และคาดคั้นเอาคำตอบ พูดกันจนกว่าจะเคลียร์ ถ้าหากพูดกันไม่จบก็อาจจะมีการไปราวีบุคคลที่ 3 หรือกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา (ประเภทแฟนข้าใครอย่าแหยม แต่ถ้าข้าไม่ได้ ใครก็อย่าหวังจะได้เลย เอากันให้ตายไปข้าง)
แบบที่ 2 คิดมากและน้อยใจคนเดียว
ผู้หญิงแบบนี้มักจะเป็นคนคิดมาก และแอบน้อยใจคนเดียว จนกลายเป็นไม่มีความสุข และรู้สึกว่าตนเองไร้ความสำคัญ หรืออีกฝ่ายหมดรักตัวเองแล้ว มักจะไม่แสดงออกโดยตรง แต่จะมาในรูปของการงอน เงียบ หลบหน้าหลบตา ไม่รับโทรศัพท์ หรือขาดการติดต่อ แต่จะไม่ตีโพยตีพาย บางรายหากแน่ใจว่าคนรักไม่รักตนอีกแล้วก็จะตัดใจและจากไปเงียบๆ โดยไม่มีคำร่ำลา (เพราะทำใจไม่ได้และเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดกัน หากเค้าหมดรักก็ไม่อยากที่จะรั้งเอาไว้ เพราะมีแต่จะเสียใจไปเปล่า ๆ)
แบบที่ 3 ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผู้หญิงแบบนี้ จะไม่ตีโพยตีพายตั้งแต่แรก แต่จะคอยสังเกตพฤติกรรมเงียบ ๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เมื่อพบว่าตัวเองเข้าใจผิดก็จะเฉยซะ แต่ถ้าเข้าใจถูกก็จะเปิดใจพูดกัน หากฝ่ายชายเคลียร์ตัวเองได้ก็จบ ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องเลิกรากันไป (เพราะผู้หญิงแบบนี้มองว่าตัวเองก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเขามีคนอื่นแล้ว ก็ไม่ควรจะเสียเวลากันต่อไปอีก สู้หาแฟนใหม่มาดามใจดีกว่า)
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตาม คุณผู้ชายทั้งหลายก็ควรจะระวังเอาไว้ อย่าปล่อยให้ความระแวงเข้ามาในใจแฟนของคุณ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสียคนที่คุณรักไปก็ได้ มีอะไรก็พูดอธิบายให้คนรักของคุณเข้าใจ เพราะบางทีสิ่งที่คุณคิดว่าไม่มีอะไร อาจจะกลายเป็นสิ่งที่กำลังทำลายความรักของคุณอยู่ก็ได้